Shenzhen
Shenzhen - The world largest electronic village
บทความเรื่องนี้เป็นการเล่ารายละเอียดการไปเที่ยวเสินเจิ้น เมืองที่ขายสินค้า electronics ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ( The world largest electronic village ) อันสืบเนื่องมาจาก กระทู้ที่ไปเชิญชวนสมาชิก e2day ไปเที่ยว
ผู้เขียนขอขอบคุณ Nightbirdb ที่ได้กรุณาให้ข้อมูล คำชี้แนะตลอดจน คำแนะนำต่างๆที่ปรากฎในเวป และข้อความที่ส่งมาให้ส่วนตัว ทำให้สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ การเดินทางของคณะเราจึงได้รับความสดวกจากข้อมูลต่างๆเหล่านี้
การเตรียมตัว
Visa จะไปเที่ยวประเทศใหนนอกอาเซียน เราก็ต้องทำวีซ่าก่อนเข้าประเทศเขา จีนก็เช่นกัน เราต้องไปขอ Visa ซึ่งมีสถานทูตอยู่ใน กทม ที่ซอยรัชดา 3 ไม่ไกลจากศูนย์การค้าฟอร์จูน หรือ Central Plaza Shopping Mall สามารถไปได้ด้วยรถใต้ดิด มาโผล่ได้ที่สถานีพระรามเก้า เดินต่ออีกหน่อยไม่ไกล
การจะขอ Visa เข้าจีนนั้น ต้องมี ต่อไปนี้ครับ
๑ ตั๋วเครื่องบิน
๒ หลักฐานว่าได้จองที่พักในเมืองที่จะไปแล้ว
๓ สำเนาหนังสือเดินทาง
๔ ใบรับรองจากธนาคารว่ามีเงินในธนาคารพอจะไปเมืองเขาได้
หาอ่านรายละเอียดจาก website เขาได้
สิ่งแรก.........ผู้เขียนได้บอกให้สมาชิกคอยตรวจดูว่า ตอนใหนที่มีรายการโปรโมชั่นเที่ยวบิน ก็เลยช่วยกันประกาศบอกสมาชิกที่ไปให้รีบจองตั๋วเครื่องบิน เราได้สาย Air Asia เพื่อเราจะได้เดินทางไปพร้อมๆกัน
เมื่อเราจองตั๋วเครื่องบินแล้ว จากนั้นเราก็เริ่มหาโรงแรมโดยเน้นว่า โรงแรมต้องอยู่ไกล้กับ Electronic Village ให้มากที่สุด เราได้โรงแรมที่อยู่ในตำแหน่งที่สามารถเดินไปตลาด Electronics ได้อย่างสบายๆ
เมื่อได้ชื่อโรงแรมแล้ว ผู้เขียนก็ส่งข้อมูลไปให้สมาชิกที่จะไป ให้รีบจองห้อง
เมื่อมีรายการที่ว่าตามที่ว่ามาข้างบน ๔ รายการแล้ว ทีมเราก็ต่างคนก็ไปขอ Visa เอง ค่า Visa เข้าจีนหนึ่งครั้ง ( single entry visa ) ราคา ๑ พันบาท การทำหนังสือท่านสามารถให้คนทำแทนได้ หากเอกสารมีครบ จากนั้นก็รออีกสีวันก็ไปรับหนังสือเดินทางพร้อมมี Visa ประทับมาเรียบร้อย
การเตรียมตัวก่อนเดินทางอย่างอื่นอีก เนื่องจากเราเดินทางกันไปทั้งหมด ๗ คน ก็เลยต้องเตรียมยาไปด้วย
ยาที่เตรียมไปก็มี
๑ ยาแก้แพ้ ( เอาชนิดดีกันเลย ทานแล้วไม่ง่วง)
๒ ยาแก้ปวด ( ชนิดบำบัดปวดภายใน สิบห้านาที่ เม็ดละ 40 บาท กะคงปวดเมื่อยจากการเดินทั้งวัน)
๓ ยาแก้ท้องเดิน ( ไม่ใว้ใจอาหาร แต่จะเลือกทานแต่ของร้อนๆ )
๔ ยานอนหลับ ( หากใครตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ )
๕ ยาลดไขมัน ( สำหรับผู้เขียนเอง กะจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้า )
พบว่าได้ใช้ยาแก้ปวดเพราะสมาชิกท่านหนึ่งทนควันบุหรี่ไม่ใหว
ยานอนหลับก็ได้ใช้ ทำให้ได้นอนรวดเดียวจนเช้า
World Largest Electronic Village :
ถิ่นสถานที่ตั้งของ Shenzhen Electronic Village นี้ ภาษาท้องถิ่นเขาเรียก Hua Qiang Bei อยู่ในถิ่นตำบล ( หรืออำเภอ ไม่แน่ใจ) ที่ชือ Futian ในเมือง Shenzhen, China.
หากดูในแผนที่แล้ว จะเห็นว่า มันเริ่มจาก สี่แยก ระหว่าง Shennan Middle Road ( ถนนนี้วิ่งในแนวตะวันออกตะวันตก ) ต้ดกับ Hua Qiang North Road ซึ่งวิ่งเหนือใต้ จากสี่แยกนี้ กลุ่มร้านค้าจะรายเรียงทั้งซ้ายและขวา ของถนน Hua Qiang North Road มองดูกะคร่าวๆ คิดว่าช่วงบริเวณกลุ่มนี้จะยาวประมาณ150-200 เมตร
สถานีรถไฟฟ้าที่ไกล้ คือสาย Luobao Line ( หรือสายสีเขียวในแผนที่ ) ซึ่งเริ่มจากสนามบิน โดยเราจะโผล่ขึ้นบนดินที่ สถานี Hua Qiang Station
แผนที่ของศูนย์การค้า ร้านต่างๆของ Electronics Village ของเสินเจิ้น
วันที่ ๗ ธค ๒๕๕๕
การเดินทาง ขาไป กรุงเทพฯ ไป เสินเจิ้น
หมายกำหนดการ เครื่องบินจะออกจาก สนามบินดอนเมืองเวลา 19.10 น แต่ล่าช้าไปกว่าเครื่องจะออกได้ก็ ปาเข้าไป 19.30 น หมายกำหนดเดิมเราจะถึง Shenzhen-SZX เวลา 22:50 น ก็แปลว่าเราคงไม่มีสิทธิใช้ รถไฟฟ้าเข้าเมืองกันแล้ว เพราะรถไฟฟ้าวิ่งเที่ยวสุดท้ายเวลา 23:30 มีทางเดียวคือ นั่งรถแท๊กซี่
สนามบินเสินเจิ้นเข้าที่พัก
เราไปถึง เสินเจิ้น ราว 23:30 น อุณหภูมิที่นั่น 19 C ซึ่่งกำลังสบายมาก พวกเรากลัวว่าจะหนาว เพราะก่อนมา มีรายงานว่าต่ำลงมาถึง 14 C แต่ไม่เคยต่ำมากขนาดนั้น
ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และ ผ่านศุลกากรแล้ว เราก็เดินไปที่คิวแท๊กซี่ ซึ่งก็มีระเบียบดี พอถึงคิวเราแล้ว เข้าไปนั่งที่รถุ เราเอาชื่อโรงแรม ตามเอกสารที่เราจองโรงแรมมา จากนั้นโชเฟอร์ก็บึ่งรถเขาเข้าเมือง ( เหลือบมองเข็มความเร็ว ล่อไป 110-120 กม ต่อ ชม ) จากใบเสร็จค่าแท๊กซี่พบว่า ระยะทางจากสนามบินไปยังโรงแรมเรานั้นมีระยะทาง 35 กม. ค่ารถแท๊กซี่จ่ายไป 140 หยวน เราไปถึงโรงแรมเกือบตีหนึ่ง เนืองจากทานอาหารเย็นมาไม่มาก ทำให้รู้สึกหิวมาก เลยชวนสมาชิกอีกคนออกไปหาอาหารทาน มีร้านอาหารแบบหม้อต้ม( Hot Pot เหมือนร้านเสฉวนใน STL)อยู่ไกล้โรงแรมมาก เห็นคนนั่งทานกันมาก เดาว่าคงอร่อย เลยเข้าไป เอาเมนูมาดู อ่านไม่ออกสักตัว เพราะเป็นภาษาจีน เลยหันรีหันขวาง เดินไปที่โต๊ะหนึ่งที่มีคนนั่งเต็มโต๊ะ และมีอาหารอยู่เต็ม แล้วเรียกหัวหน้าบ๋อยมา แล้วชี้ไปที่ อาหารจานหนึ่ง เป็นเส้นก๊วยเตี๋ยวคล้าย Udon ของญี่ปุ่น และมีเนื้อโปะหน้าอยู่ สั่งน้ำชามาเสริม จากนั้นก็ฟาดอาหารชามนั้นกันอย่างเอร็ดอร่อย กลับเข้าห้องพัก อาบน้ำ ก่อนเข้านอนล่อยานอนหลับไปหนึ่งเม็ด นอนหลับอย่างมีความสุข เพราะท้องอิ่ม
เนื่องจากเรามากันแค่เสาร์และอาทิตย์เท่านั้น เราเลยนัดเจอกันตอนเช้า โมงครึ่ง กะเดินกันเต็มที่
วันที่ ๘ ธค ๒๕๕๕
วันเดินออก shopping
เรานัดเจอกันแต่เช้า เพราะเกรงว่าจะไม่มีเวลาพอจะตลุยร้านต่างๆได้หมด เลยนัดเจอกันโมงครึ่ง ออกมาพบว่า ร้านรวงยังไม่เปิด ก่อนไปพยายามทำ google search เจออยู่เวปหนึ่งบอกว่า SEG electronics เปิดตอน เก้าโมง พบว่าจริงๆแล้ว ร้านต่างที่ Hua Qinag Bei เปิดสิบโมงเช้าแทบทุกร้าน ยกเว้นร้านอาหารริมฟุตบาทที่เปิดแต่ช้า
เราเดินจากส่วนต้นทางสุด ค่อยๆเดินทอดน่องตอนเช้าๆ อากาศกำลังสบายไปจนสุดแหล่งร้านค้าซึ่งยาวประมาณ 200-300 เมตร แล้วถอยทัพกลับ ร้านที่เปิดแต่เช้าคือพวก Fast Food เช่น Bergur King และ Mc Donald คณะเราเลยแวะเข้า Mc Donald ตามความเคยชิน ออกจากร้านอาหารเช้า เราก็เดินโต๋เต๋อยู่ จนสาย คนทำงานเริ่มเข้ามา ถนนหนทางชักจอแจ สมาชิกในคณะบางคน แอบแว๊ปไปนอนเอาแรง เพราะเมื่อคืนถึงที่นอน ดึกหน่อย ที่เหลือก็เดินลุย
เอาว่าเราเดินทางส่วนสี่แยกของถนน Shennan Middle Road ที่ตัดก้บ Hua Qiang North Road หันหน้าไปทางเหนือ คือ มองไปตามถนน Hua Qiang North Road ทางขวาจะเห็นร้าน SEG Electronics เป็นร้านแรก ซึ่งมีดูเหมือน 8 ชั้น ดูในรูปที่ถ่ายมา จะเห็นว่าเขามีของขายทุกชั้น สมาชิกเราไปได้ Oscilloscope มาจากขั้น 2 ของทีนี่
หากมองไปทางซ้ายมือ จะเป็นตึกของ Hua Qiang Holding ตึกนี้แหละที่มีต่อกันขึ้นไปเรื่อยๆ ประมาณ 4-5 ตึก ซึ่งทำเอาพวกเราต้องนั่งพักขา เพราะมันหลายชั้นและหลายตึก ขึ้นเหนือไปอีก ต่อจากตึกเหล่านี้ มีอีกตึกที่เขียนว่า LED โดยเฉพาะ ( แต่มีอย่างอื่นขายด้วย )
พวกเราแยกกันเดิน ดูตามความสนใจของแต่ละคน มีสมาชิกไปเจออุปกรณ์ขยาย ซึ่งเห็นว่าจะเอามาใช้ในกิจกรรมเรื่องการเชื่อมของเล็กๆ โดย Display ของมันจะส่งผ่าน USB ไปออกบน PC screen.
ผู้เขียนเองเดินอยู่จนถึงเที่ยง เราต้องรีบหาที่พักเท้า โดยเดินออกไปจากถนนหลักหลังตึกใหญ่ๆ เพื่อหาอาหารเที่ยงทาน อาหารที่เลือก ก็มีพวก ข้าวราดหน้า หมูแดง หมูย่าง เป็ด พวกเกี๊ยวน้ำ ตามแบบของอาหารกวางตุ้ง
ทานเสร็จ นั่งพักขาจะพอจะหายปวดเมื่อย ก็ออกลุยต่อ เดินอีกสองสามชั่วโมง ต้องแอบไปพักขาที่โรงแรม ( โชคดีที่ไม่ไกล เดินไปมาใหว ) กลับออกมาอีกที ตอนสี่โมงกว่า
ตอนเช้าพวกเรานัดกันว่า จะมาเจอที่โรงแรมตอนหกโมงเย็น เพื่อจะได้ไปทานอาหารด้วยกัน จะได้แลกเปลี่ยนเรื่องเล่าว่าไปเจออะไร ได้อะไรมาบ้าง คณะของเราพิเศษหน่อยที่มี สมาชิกที่เป็นมุสลิมสองคน ที่เลือกร้านอาหารมุสลิม เพราะคิดว่าชาวพุทธเราๆ ส่วนใหญ่ก็เคยทานอาหารพวกแกงกะหรี่ มัสหมั่น ฯ ได้อยู่แล้วเลยเลือก เพราะพวกเราจะได้เจอกันครบหน้า ด้วยจุดประสงค์ที่ว่า เราจะได้มาเล่าคุยกันให้สบายๆหน่อย
ก่อนไปเลยทำ google search หาร้านอาหารมุสลิมไกล้ๆที่พัก โชคดีที่เจออยู่ร้านหนึ่งเป็นอาหารประเภทปากีสถาน ไม่ไกลมากนัก พอเดินไปใหว ไปถึงร้าน เห็นลูกค้าเป็นคนอาหรับและแขกขาวอยู่ในร้านพอสมควร เราก็เลือกสั่งอาหารพวกที่เราคุ้นๆหน่อย (สงสัยมีแต่ผมที่รู้ว่าอาหารที่สั่งคืออะไร ) กล่าวคือ แกงไก่ ( Karahi ) แกงกะหรี่แพะ และ แกงเผ็ดเนื้อบด ( Keema Mutter ) เสริมด้วยข้าวและโรตีขาวๆ พบว่าคณะเราที่ไปกัน 7 คน มีที่ชอบอาหารแขกที่เลือกนี้มากๆแค่ 4 คน สองคนในนี้บอกว่าทานครั้งแรก แต่ชอบมากๆ ที่เหลือบอกว่า "พอทานได้" ผมเดาว่าคงส่ายหัว หากแปลตรงคงจะว่า "ไม่ใหว" หลังจากทานเสร็จ ถึงที่พักคงแอบไปฟาดอาหารจีนต่อ ( เดาเอานะ )
วันนี้เราเข้าที่พักและเข้านอนแต่หัวค่ำ เอาแรงสำหรับเดินวันสุดท้าย
วันที่ ๙ ธค ๒๕๕๕ วันสุดท้ายจาก เสินเจิ้น กลับ กรุงเทพ
วันนี้เราตื่นกันสบายๆ นัดเจอกันเวลา 9:30 น เราแบ่งกัน 3 กลุ่มตามความสนใจที่จะไปลุยในวันสุดท้ายนี้
กลุ่มแรกเลือกจะไปดู Window of The World ซึ่งเป็นสวนสนุกที่ย่อสถานที่สำคัญในโลกมาให้เราดูเช่น หอไอเฟล ฯ
กลุ่มต่อมาเลือกไป shopping Mall ซึ่งใหญ่มาก ไกล้กับสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนเมืองฮ่องกง
กลุ่มสุดท้ายเลือกไปลุย ร้าน Electronic Village ต่ออีก
ก่อนกลับมาจะ checkout ออก ผู้เขียนได้ออกไปเป็นเพื่อนซื้อ Rigol oscilloscope สรุปว่า ซื้อจากเสินเจิ้นนี้ สมาชิกที่ซื้อสินค้าตัวนี้ ประหยัดเงินไปประมาณ หนึ่งหมื่นสี่พันบาท ได้สินค้ามา เราก็ให้ร้านช่วยกำจัดกล่อง เก็บแต่ โฟมที่ห่ออุปกรณ์ แล้วเอาบรรจุเข้า backpack เพื่อหิ่วขึ้นเครื่องเอง
เรานัดมาเจอกันหลังเที่ยงที่โรงแรม เพื่อ checkout จากโรงแรม ฝากกระเป๋ากับโรงแรม แล้่วไปลุยกันต่อที่ถนนคนเดิน ( Pedestrian Street Plaza ) ที่นี่มีร้านค้ามากมาย ถนนตามหนังสือแนะนำ บอกว่าถนนจะถูกปิดเพื่อให้คนเดิน พอไปถึงพบว่า คนยังกะหนอน หรือเหมือนกับมดที่ออกจากรัง กล่าวคือ คนแน่นมาก แทบทุกตารางฟุต ทำให้เดินดูของไม่สดวก เราเลยเลือกเข้าไปหาอาหารทาน พักเท้า เสร็จจากทานอาหารและทำธุระส่วนตัวเสร็จ เราตัดสินใจเดินกลับสถานีรถไฟ กะไปพักเท้าที่โรงแรม ก่อนเดินทางไปสนามบิน ออกจากสถานที่นั้นเวลา 17:00 น กว่าจะแหกทะเลคนออกมาได้ แทบแย่ นั่งพักผ่อนรอเวลาเดินทางไปสนามบินจนถึงเวลา 19:30 น คณะของเราก็เริ่มเดินไปยัง Hua Qiang Station เพื่อขึ้นรถไฟฟ้ากลับไปยังสนามบิน ค่ารถไฟฟ้าจากในเมืองไปยังสนามบินจากที่เราพักนั้นแค่ 8 หยวน ( 40 บาท ) เท่านั้นเอง เมื่อเทียบกับรถแท๊กซี่นั้น เฉลี่ยคนละประมาณ 35 หยวน
การเดินทางกลับ ขากลับ
รถไฟฟ้าใช้เวลาเดินทางจากสถานีที่ไกล้ที่พวกเราประมาณ หนึ่งชม พอไปถึงต้องเดินไปยังอาคารสนามบินอีกประมาณ 400 เมตร พอเข้าอาคาร ช่วงนี้คือ Terminal A & B ซึ่งเป็นอาคารของผู้โดยสารภายในประเทศ เราต้องเดิน ( หา ) อาคารสำหรับผู้โดยสารสายต่างประเทศ หลังจากสอบถาม ก็ไปถึงอาคารผู้โดยสารต่างประเทศ ซึ่งค่อนข้างเล็ก มีร้านอาหารขาย พวกเราต้องนั่งรอ เนื่องจาก check out time นั้นต้องรออีก ชั่่วโมงกว่า เลยสั่งอาหารมาทานเป็นมื้อเย็น ราคาอาจจะแพงกว่าข้างนอกสักเล็กน้อย พอได้เวลา เราก็ check in เอา บัตรขึ้นเครื่องแล้วผ่าน ตรวจคนเข้าเมืองและ Security check ในส่วนที่ผู้โดยสารที่ check in เข้าไปนั้นก็มีร้านอาหาร แม้จะเป็นเวลาดึกแล้วก็ตาม ไม่ได้เข้าไปดูรายละเอียด เพราะดึกและอยากจะกลับบ้านท่าเดียว
เครื่องจากเมืองไทยมาถึงตอนเกือบห้าทุ่ม เราขึ้นเครื่องราวห้าทุ่มกว่า เครื่องมาถึงดอนเมือง เกือบตี่หนึ่ง ( เวลาบ้านเรา ) พอถีงสนามบิน คณะเราก็แยกย้ายกันกลับบ้านเอง เท่าที่สอบถาม ไม่มีใครถูกศุลกากรตรวจสอบ ทุกคนผ่านได้หมด
ข้อสังเกตุ
๑ คนจีนมีนิ้วที่ ๖ มาก ( สูบบุหรี่กันมาก ) เล่นเอาสมาชิกที่ไป ปวดหัวต้องถามหายาแก้ปวด
๒ ระบบการคมนาคมเขาดีมาก
๓ คนมากมายเหมือนกับมดออกจากรัง ( หรือจะว่า ยั้วเยี้ยเหมือนหนอน ก็คงไม่ผิดนัก )
๔ ไม่ว่ารถโดยสารหรือรถไฟฟ้า ดูเหมือนเขาจะทำใช้เองหมด น่าภูมิใจแทน
๕ ที่สี่แยกใหญ่ จะมีหลุมให้ลงอุโมงค์ใต้ดิน เพื่อให้คนเดินถนนสามารถข้ามถนนโดยไม่ไปยุ่งกับการจราจรของรถ
ปัญหาที่เจอ
๑ พบว่าคนขาย หรือ คนบนถนน ส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้
๒ ถนนสายใหญ่ของเขาสอาดขยะแทบไม่มีเลย แต่พอแยกเข้าสายเล็กก็ดูจะมีขยะพอสมควร
๓ ในตัวอาคารร้านค้ามีคนทำความสอาดแยะมาก
๔ เนื่องจากพวกเราที่ไปพูดภาษาจีนไม่ได้ ทำให้สื่อเวลาจะถามหรือซื้อขาย เป็นไปด้วยความลำบาก
แต่ก็พอจะซื้อขาย หรือต่อรองได้
๕ เนื่องจาก อุโมงค์สำหรับให้คนเดินข้ามถนนนั้นลึกมาก อย่างน้อยประมาณเท่ากับความสูงของตึกสองถึงสามชั้น ดังนั้นใครที่หัวเข่าไม่ดี อาจจะมีปัญหามากโดยเฉพาะตอนขาเดินขึ้น
คำแนะนำ
๑ เตรียมยาให้พร้อม โดยเฉพาะคนที่ข้อเข่าไม่ดี
๒ เตรียม อุปกรณ์ที่สามารถ แปลภาษาไทยหรืออังกฤษ ให้เป็นภาษาจีน เช่น พวก google app ที่มี dictionary เพือถาม หรือ เพื่อต่อราคา หรือสอบถามทิศทางหรือสถานที่ที่จะไป
๓ ให้เตรียมทำการบ้านมาว่าต้่องการจะซื้ออะไร สินค้านั้นบ้านเราราคาเท่าไร เพราะหากจะไปคิดซื้อที่เสินเจิ้น อาจจะงงไปหมด เพราะสินค้าที่เขามีมาตั้งขายนั้น มันน่าจะเป็นไปได้ว่า เขามี "บ้านหม้อพลาซ่า" อยู่เป็นจำนวนร้อยๆ หรืออาจจะถึง"เป็นพันๆบ้านหม้อพลาซ่า" ก็ได้
ผู้เขียนเองตั้งใจแค่จะไปชม ดูร้านต้่างๆ ของที่ได้มา ก็มี รังถ่าน ( 4 หยวน ) Laser Pointer ที่แรงหน่อย และ ชาจีนสี่ถุง ( 550 Yuans ) พรรคพวกคนหนึ่งก็ได้ Oscilloscope อย่างที่เล่า ( เห็นว่าประหยัดเงินไปราวหมื่นหกพันบาท ก็เท่ากับได้ค่าเครื่องบิน และที่พักฟรี ) คิดว่าทุกคนพอใจกับการเดินทางเที่ยวนี้ ได้ไปเห็นร้านรวงที่ใหญ่ที่สุดในโลก
samira
BKK
12/12/2012